ภายใต้ความตกลงสงบศึก ค.ศ. 1949:
ก่อน 26 พฤษภาคม 1948 Yishuvกำลังกึ่งทหาร:
หลัง 26 พฤษภาคม 1948: อิสราเอล กองกำลังป้องกันอิสราเอล ALAal-Najjada Holy War Army(ก่อน 15 พฤษภาคม 1948)
อียิปต์ ทรานส์จอร์แดน อิรัก ซีเรีย เดวิด เบนกูเรียน Yisrael Galili ยาคอฟ ดอรี่ Yigael Yadin Yigal Allon ยิตซัค ราบิน David Shaltiel โมเช ดายัน Azzam Pasha พระเจ้าฟารูกแห่งอียิปต์ สมเด็จพระเจ้าอับดุลลอฮ์ที่ 1 Muzahim al-Pachachi Husni al-Za'im Haj Amin al-Husseini Ahmed Ali al-Mwawi Muhammad Naguib John Bagot Glubb Habis al-Majali Hasan Salama †บทความนี้อ้างอิง
คริสต์ศักราช/คริสต์ทศวรรษ/คริสต์ศตวรรษ ซึ่งเป็นสาระสำคัญของเนื้อหา
สงครามปาเลสไตน์ ค.ศ. 1947–1949 หรือในอิสราเอล เรียก
สงครามอิสรภาพ (
ฮีบรู: מלחמת העצמאות) และในภาษาอาหรับเรียกว่าเป็นองค์ประกอบแกนกลางของนักบา (
อาหรับ: النكبة)
[10][11][12] เป็นสงครามรบพึ่งกันในดินแดนปาเลสไตน์ภายใต้อาณัติของบริเตน เป็นสงครามครั้งแรกใน
ความขัดแย้งอิสราเอล–ปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ
ความขัดแย้งอาหรับ–อิสราเอลอีกต่อหนึ่ง ในสงครามครั้งนี้
จักรวรรดิบริติชถอนตัวจาก
ปาเลสไตน์ในอาณัติ ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของ
จักรวรรดิออตโตมันจนถึงปี 1917 สงครามครั้งนี้ลงเอยด้วยการสถาปนา
รัฐอิสราเอลโดยชาวยิว และมีการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์อย่างเบ็ดเสร็จในดินแดนที่ยิวได้ยึดครอง โดยมีการพลัดถิ่นของชาวอาหรับปาเลสไตน์ประมาณ 700,000 คน และการทำลายพื้นที่เมืองของชาวอาหรับปาเลสไตน์ส่วนใหญ่
[13] ชาวอาหรับปาเลสไตน์ตกอยู่ในสภาพไร้รัฐเป็นอันมาก โดยกระจัดกระจายอยู่ตามดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกประเทศอียิปต์และจอร์แดนยึดครอง หรืออยู่ตามรัฐอาหรับที่อยู่ติดกัน ในบรรดาชาวอาหรับปาเลสไตน์นี้ มีจำนวนมากยังไร้รัฐและต้องอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยดินแดนที่อยู่ภายใต้การบริหารของบริติชก่อนสงครามนั้นถูกแบ่งออกเป็นรัฐอิสราเอล ซึ่งควบคุมประมาณร้อยละ 78 ของพื้นที่ ราชอาณาจักรจอร์แดน (ขณะนั้นชื่อ
ทรานส์จอร์แดน) ซึ่งควบคุมและต่อมาผนวกดินแดนซึ่งต่อมาเป็น
เวสต์แบงก์ และประเทศอียิปต์ซึ่งยึด
ฉนวนกาซา ดินแดนชายฝั่ง
ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ด้าน
สันนิบาตอาหรับสถาปนารัฐบาลปาเลสไตน์ทั้งปวง (All-Palestine Government)สงครามนี้แบ่งออกเป็นสองระยะ ระยะแรกเป็นสงครามกลางเมืองในปาเลสไตน์ในอาณัติปี 1947–1948 ซึ่งเริ่มต้นเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 1947 หนึ่งวันหลัง
สหประชาชาติลงมติให้แบ่งดินแดนปาเลสไตน์ออกเป็นรัฐเอกราชยิวและอาหรับ และเยรูซาเลมซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของนานาชาติ (
ข้อมติสมัชชาสหประชาชาติที่ 181) ซึ่งผู้นำยิวยอมรับ แต่ผู้นำอาหรับและอาหรับปาเลสไตน์ปฏิเสธโดยพร้อมเพรียงกัน
[14] นักประวัติศาสตร์อธิบายความขัดแย้งในระยะนี้ว่าเป็นสงคราม "กลางเมือง", "เชื้อชาติ" หรือ "ระหว่างชุมชน" เพราะรบพุ่งกันระหว่างทหารอาสาสมัครยิวและอาหรับปาเลสไตน์ ซึ่งฝ่ายหลังได้รับการสนับสนุนจากกองทัพปลดปล่อยอาหรับและรัฐอาหรับที่อยู่โดยรอบ สงครามในระยะนี้มีลักษณะเป็น
การสงครามกองโจรและ
การก่อการร้าย และต่อมาบานปลายขึ้นเมื่อปลายเดือนมีนาคม 1948 เมื่อยิวเป็นฝ่ายบุกและเป็นฝ่ายชนะชาวปาเลสไตน์ในการทัพและยุทธการขนาดใหญ่ จนเกิดเป็นแนวรบที่ชัดเจน ในระหว่างนี้ บริเตนยังคงปกครองดินแดนปาเลสไตน์อยู่ แม้ว่าจะน้อยลงเรื่อย ๆ และบางทีก็เข้าสอดในความรุนแรงนี้
[15][16]จักรวรรดิบริติชกำหนดการถอนกำลังและสละการอ้างสิทธิ์ทั้งปวงในปาเลสไตน์ไว้วันที่ 14 พฤษภาคม 1948 ในวันนั้น เมื่อทหารและกำลังพลบริติชคนสุดท้ายออกจากนคร
ไฮฟา ผู้นำยิวในปาเลสไตน์ประกาศสถาปนารัฐอิสราเอล หลังประกาศได้พลันกองทัพอาหรับและกำลังรบนอกประเทศของอาหรับที่อยู่โดยรอบอิสราเอลก็บุกครองอิสราเอลทันทีเพื่อขัดขวางอิสราเอลและเข้าช่วยชาวอาหรับปาเลสไตน์ซึ่งเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำในเวลานั้น การบุกครองดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามในระยะที่สอง เรียก
สงครามอาหรับ–อิสราเอลปี 1948 อียิปต์รุกคืบเข้ามาทางฝั่งทะเลตอนใต้และหยุดใกล้กับแอชดอด (Ashdod); ลีจันอาหรับจากจอร์แดนและกองทัพอิรักยึดที่ราบสูงตอนกลางของปาเลสไตน์ ประเทศซีเรียและเลบานอนรบปะทะกับกำลังอิสราเอลหลายครั้งทางตอนเหนือ ทหารอาสาสมัครอิสราเอล ซึ่งจัดระเบียบเป็นกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) สามารถหยุดยั้งกองทัพอาหรับไว้ได้ ในเดือนต่อ ๆ มามีการสู้รบอย่างดุเดือดระหว่าง IDF กับกองทัพอาหรับ ซึ่งค่อย ๆ ถูกผลักดันกลับไป กองทัพจอร์แดนและอิรักสามารถควบคุมที่สูงตอนกลางปาเลสไตน์และยึด
เยรูซาเลมตะวันออกไว้ได้ รวมทั้งกรุงเก่า เขตยึดครองของอียิปต์ถูกจำกัดไว้เพียงฉนวนกาซาและวงล้อมขนาดเล็กภายใต้การล้อมของกำลังอิสราเอลที่ Al-Faluja ในเดือนตุลาคมและธันวาคม 1948 กำลังอิสราเอลข้ามสู่ดินแดนเลบานอนและผลักดันเข้าสู่
คาบสมุทรไซนายของอียิปต์ ล้อมกำลังอียิปต์ไว้ใกล้กับ
นครกาซา การปฏิบัติทางทหารสุดท้ายเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 1949 เมื่อกำลังอิสราเอลยึด
ทะเลทรายเนเกฟและถึง
ทะเลแดง ในปี 1949 อิสราเอลลงนามการสงบศึกแยกกันกับประเทศต่าง ๆ ดังนี้ กับประเทศอียิปต์ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์, กับประเทศเลบานอนในวันที่ 23 มีนาคม, กับทรานส์จอร์แดนในวันที่ 3 เมษายน และกับประเทศซีเรียในัวนที่ 20 กรกฎาคม ในช่วงนี้ การหนีของและการขับไล่ชาวอาหรับปาเลสไตน์ยังคงดำเนินต่อไปในช่วงสามปีหลังสงคราม ยิวประมาณ 700,000 คนเข้าเมืองอิสราเอลจากทวีปยุโรปและดินแดนอาหรับ โดยหนึ่งในสามของจำนวนนี้ออกหรือถูกขับออกจากประเทศถิ่นพำนักของตนในตะวันออกกลาง
[17][18][19] ผู้ลี้ภัยเหล่านี้ถูกกลืนเข้าสู่อิสราเอลในแผนหนึ่งล้าน
[20][21][22][23]